ส่อง 15 หุ้นใหม่IPO หุ้นขนาดเล็กเข้าซื้อขายในตลาดMAI

0 views
0%

ส่อง 15 หุ้นใหม่IPO หุ้นขนาดเล็กเข้าซื้อขายในตลาดMAI

ส่อง 15 หุ้นใหม่IPO หุ้นขนาดเล็กเข้าซื้อขายในตลาดMAI  ใครๆ ก็ว่า “เล่นหุ้น” ไม่ใช่เรื่องยาก และมีข้อดีหลายอย่าง ตั้งแต่การสร้าง Passive income, การมีหุ้นก็เหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจ ไปจนถึงการเล่นหุ้นคือการลงทุนที่ดีที่สุด แต่โลกความเป็นจริงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะโลกของการลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุน หรือหากจะลงทุนเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็มีหุ้นให้เลือกมากกว่า 600 บริษัทฯ แล้วถ้าจะเริ่มต้นเล่นหุ้น ลงทุนในหุ้น ต้องเริ่มตรงไหน Brand Inside ชวนคุณมาเตรียมตัวลงทุนด้วย 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนกัน เล่นหุ้น 1.สำรวจตนเองว่า ทำไมถึงอยากลงทุน ก่อนจะกระโดดเข้าสนามการลงทุน เราอาจต้องสำรวจพื้นฐานของตัวเอง รวมถึงเป้าหมายของตัวเราก่อน เพื่อที่เราจะสามารถหารูปแบบ และวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง เช่น ต้องการลงทุนและสร้างเงินเก็บ 100,000 บาทภายใน 5 ปี ลงทุนเพื่อสร้าง Passive income (รายได้ที่ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง) ระหว่างที่ยังทำงานประจำ ลงทุนเพื่อมีเงินปันผล ลงทุนเพื่อเก็บเงินก้อนให้ลูก ลงทุนเพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ และอีกหลากหลายเป้าหมาย (หรือเราอาจจะแบ่งการลงทุนตามแต่ละเป้าหมายก็ย่อมได้) เล่นหุ้น เมื่อเจอเป้าหมายที่ใช่แล้ว จึงมาสำรวจ “เงื่อนไข” และ “การรับความเสี่ยง” ของตัวเองกันต่อ เช่น เงินที่สามารถลงทุนได้ , เมื่อลงทุนแล้วหากขาดทุนจะรับได้แค่ไหน, ผลตอบแทนที่อยากได้อยู่ที่เท่าไร? สามารถเช็คสถานะการเงินเพื่อการลงทุนของตนเองได้ ที่นี่ เมื่อได้ทั้งเป้าหมาย และเงื่อนไขของตัวเองแล้ว เราจะมาสู่ขั้นตอนที่ 2 กัน 2. สไตล์การลงทุน เล่นหุ้นแบบไหนดี? การเล่นหุ้น อาจจะมีหลายแบบ แต่สามารถแบ่งประเภทนักลงทุนได้ 2 สไตล์หลัก ๆ คือ 2.1 สายลงทุนพื้นฐาน (บ้างก็เรียกลงทุนสายคุณค่าหรือ Value Investing) เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองระยะยาว (มากกว่า 1 ปีขึ้นไป) เมื่อจะถือหุ้นระยะยาวก็ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องดูที่พื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก (Fundamental) และบางคนก็เลือกที่จะทยอยเข้าซื้อหุ้นแบบ DCA หรือ Dollar Cost Average หรือการเข้าซื้อหุ้นจำนวนเท่ากันทุกเดือนเพื่อให้ได้ราคาหุ้นที่ถัวเฉลี่ยกันไป หากจะมองย่อยลงไปในนักลงทุนสายนี้อาจจะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผล หรือ หุ้นที่จะเติบโตในระยะยาว ตัวอย่างของนักลงทุนสายพื้นฐาน เช่น Warren Buffett John Neff ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 2.2 สายเก็งกำไร เป็นกลุ่มนักลงทุนที่อาจเชื่อว่า ตลาดหุ้น มีจังหวะที่ต้องเข้าซื้อ และขายออกเพื่อทำกำไร ดังนั้นจะเน้นการลงทุนระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปีลงมา) และจะเน้นที่การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) โดยสายนี้จะมักให้ความสำคัญกับราคา ทำให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนกลุ่มได้มักจะเป็น “ส่วนต่าง” ในการซื้อหุ้นที่ราคาถูก และขายในช่วงที่ราคาแพงกว่าที่ซื้อมา จุดนี้เรียกว่า Capital Gain สายนี้เองที่แตกแขนงย่อยได้อีกหลาย “สไตล์” เช่น Day Trade การซื้อ-ขายหุ้น หรือการเทรดหุ้นใน 1 วัน Technical เมื่อต้องมองเรื่องราคาหุ้น ก็จะมีเทคนิคมากมายเพื่อดู “พฤติกรรมของราคาหุ้น” สะท้อนออกมาหลายรูปแบบ เช่น การเล่นหุ้นตามกราฟแท่งเทียน สาย Hybrid ที่ผสมผสานทั้งการลงทุนจากพื้นฐาน และเทคนิค นอกจากนี้บางตำรายังมีสายที่ 3 คือ ลงทุนตามกระแส หรือลงทุนตามเทรนด์ขาขึ้นลงของตลาด ลองสูตรคำนวนเงินออมและอัตราผลตอบแทน ที่นี่ ลองประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน ที่นี่ เล่นหุ้น พอได้รูปสไตล์ การลงทุนคร่าวๆ แล้ว เราอาจจะยกตัวอย่างการลงทุนตามเงื่อนไขส่วนตัว เช่น A อายุ 22 ปี เพิ่งเริ่มต้นทำงาน เงื่อนไขคือ ตั้งเป้าหมายมีเงินออม 300,000 บาทภายใน 5 ปี มีเงินออมที่สามารถลงทุนได้เดือนละ 3,000 บาท อยากได้ผลตอบแทน 5-15% ต่อปีสามารถรับความเสี่ยงว่าหากลงทุนแล้วเงินลดลง 10-30% ของเงินต้นก็รับได้ ในบางกรณีอาจกระจายการลงทุนในหุ้นที่มีปันผลดี และแบ่งเงินบางส่วนเพื่อเทรดหุ้นเพื่อเก็งกำไร หากเลือกได้แล้วว่าเราจะลงทุนในหุ้นแน่นอน ก็ต้องมาเปิด “พอร์ตหุ้น” กัน 3. เลือกโบรกเกอร์ (และวิธีการเปิดบัญชี) การเปิดบัญชีหุ้น เราสามารถเปิดกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้เลย ยิ่งปัจจุบันสามารถเปิดพอร์ตหุ้นออนไลน์ได้ในบางบล.แล้ว สามารถเช็ครายชื่อได้ ที่นี่ แต่จะมีรายละเอียดที่นักลงทุนต้องรู้คือ สามารถเลือกประเภทบัญชีหุ้น ได้ 3 แบบ 3.1 Cash Balance บัญชีแคชบาลานซ์ หรือ Pre-Paid (เหมาะกับนักลงทุนเริ่มต้น) คือ การฝากเงินสดไว้กับโบรกเกอร์ สามารถซื้อขายตามเงินที่ฝากไว้ ซึ่งเงินในบัญชีหากไม่มีการซื้อขายก็ยังได้รับดอกเบี้ย แต่ค่อนข้างน้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก 3.2 Cash Account บัญชีเงินสด คือ บัญชีที่นักลงทุนวางเงินไว้กับโบรกเกอร์ 20% ของวงเงินที่จะซื้อขาย (เช่นเราวางเงินกับโบรกเกอร์ 2,000 บาท จะลงทุนได้ไม่เกิน 10,000 บาท) และหลังจากซื้อหุ้นแล้วต้องโอนเงินชำระเต็มจำนวน ภายใน 2 วันทำการ (T+2) 3.3 Credit Balance Account บัญชีมาร์จิน คือ การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหุ้น โดยวางหลักประกันในอัตราส่วนที่โบรกเกอร์กำหนด และมีการคิดดอกเบี้ย ซึ่งวงเงินการเทรดจะขยับเพิ่ม-ลดตามมูลค่าของหลักประกันด้วย ส่วนเอกสารเบื้องต้นในการขอเปิดพอร์ตหุ้นมี 3 อย่าง ได้แก่ บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร (ไว้ตัดเงินเข้าพอร์ต หรือรับปันผล) ทะเบียนบ้าน เล่นหุ้น 4. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานหุ้น ข้อ 4 เป็นหัวข้อที่สั้นที่สุด แต่ต้องเรียนรู้มากที่สุด เพราะก่อนจะเข้าซื้อหุ้นสักตัว ต้องทำการบ้าน ทั้งข้อมูลของบริษัทฯ ที่จะเข้าไปซื้อหุ้น เช่น ประเภทธุรกิจ, ภาวะตลาด, โมเดลธุรกิจ, ผลประกอบการย้อนหลัง ฯลฯ รวมถึงติดตามข่าวสารของที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของหุ้นนั้นๆ ว่ามีทิศทาง หรือปัจจัยที่อาจได้รับผลบวก หรือผลกระทบอย่างไร เบื้องต้นสามารถอ่านข้อมูลของหุ้นแต่ละตัวได้ที่ SET (ที่นี่) เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนซื้อขายหุ้น 5. ถ้ายังไม่มั่นใจ “ทดลองเล่นหุ้น” ก่อนได้ สุดท้ายแล้ว หากยังไม่แน่ใจว่า ข้อมูล เทคนิค และรูปแบบการลงทุนที่เลือกจะ “ใช่” แบบที่คิดไหม และยังไม่มั่นใจ เราสามารถ “ทดลองเล่นหุ้น” ผ่านการเปิดพอร์ตในเว็บไซด์ Click2win ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จุดเด่นคือ ทดลองซื้อ ขายหุ้น และอนุพันธ์บนมือถือคล้ายกับ Steaming ที่หลายคนใช้เทรดหุ้นจริง มีเงินทุนจำลองให้พอร์ตละ 5 ล้านบาท (แต่ระบบจะลบข้อมูลพอร์ตทุก 3 เดือน) Brand inside รวบรวม 5 สิ่งที่นักลงทุนหุ้นมือใหม่ควรรู้มาไว้ที่นี่แล้ว สุดท้ายนี้ขอปิดด้วยคำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” Cryptonicest.com แนะนำทุกการลงทุน หารายได้เสริม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หุ้น มีทั้ง ข่าวหุ้น สอนการ เทรดหุ้น เล่นหุ้น ให้ทุกท่านได้รับรู้ก่อนใคร อีกทั้งยังมี สลาก มีทั้ง สลากกินแบ่งรัฐบาล สลากธกส สลากออมสิน สอนเทคนิคการซื้อ กองทุนรวม บิทคอยน์ Bitcion รวมถึง NFT ว่าคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไร ขอแนะนำ Cubd-game.com รีวิวเกม เกมน่าเล่น เกมออนไลน์ คลับของคนรักเกม
From:
Date: มกราคม 14, 2022

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

70 - 5 =